เชื่อแน่ว่าตอนนี้สัตว์เลี้ยงที่ครองโลกออนไลน์คงไม่ใช่อะไรนอกจากแมว เพาะไม่ว่าเปิดไปเว็บไหน หรือช่องทางโซเชียลใดก็ต้องพบกับภาพความน่ารัก(จริงๆแล้วคนคิดว่าน่ารัก) ของบรรดาแมวในหลายๆ อิริยาบท แต่หยุดก่อนเหล่าทาสแมวทั้งหลายอย่าเพิ่งภูมิใจเพราะผลการศึกษาโดยนักวิทยาศาสตร์ล่าสุดพบว่าแมวคือสัตว์เลี้ยงที่เรียกได้ว่า เย็นชา ไร้ความรู้สึก และมีความร้ายกาจอยู่ภายในเสียด้วยซ้ำ
โดยการศึกษาดังกล่าวนี้จัดทำโดยคณะนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยลินคอล์น ประเทศอังกฤษ ซึ่งพบว่า แมว เป็นสัตว์เลี้ยงที่มักจะไม่แสดงออกหรือตอบกลับความรักกับเจ้าของ ต่างจากสุนัขที่จะมอบความรัก ความซื่อสัตย์ให้กับเจ้าของมากกว่า โดยในผลการศึกษายังได้อ้างเหตุผลด้านประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจว่าสาเหตุหนึ่งก็เพราะความผูกพันธ์ในฐานะสัตว์เลี้ยงระหว่างคนกับสุนัขนั้นมีมายาวนานกว่า 32,000 ปี ขณะที่ คนกับแมวนั้น เพิ่งมีมาได้ 9,000 ปีเท่านั้นเอง
ส่วนอีกปัจจัยหนึ่งนั่นก็คือหน้าที่ และประโยชน์รวมถึงวัตถุประสงค์ในการเลี้ยงก็ส่งผลเช่นกัน ยกตัวอย่างนับตั้งแต่อดีต คนเลี้ยงสุนัข เพื่อใช้งานบางอย่างเช่นเฝ้าบ้าน ล่าสัตว์ หรือปกป้อง สัตว์เลี้ยงในฟาร์มของพวกเขา ทำให้สุนัขรับรู้ถึงหน้าที่ และคุณค่าของตนเอง ขณะที่อีกด้านหนึ่ง คนเลี้ยงแมวไม่ใช่เพื่อใช้งานหรือสร้างประโยชน์ให้แก่ตนเอง แต่กลับกัน คนกลายเป็นทาสของแมวไปโดยไม่รู้ตัวเพราะหลงใน กายภาพที่น่ารัก เราจึงให้อาหารแมว หาที่นอน ของเล่นดีๆ ให้กับมัน ซึ่งทำให้แมวมีความรู้สึกว่า มันคือผู้เลือก มากกว่าผู้ถูกเลือก ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องแสดงออกความรักกับมนุษย์มากนัก
ศาตราจารย์ ด็อกเตอร์ แดเนียล มิลส์ หัวหน้าคณะวิจัยจากมหาวิทยาลัย ผู้เคยพิสูจน์ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างเด็กทารกกับพ่อแม่ ใช้หลักการเดียวกันในการทดลอง จากการวิจัยนั้นที่ไม่ว่าทดลองเลี้ยงเด็กทารกในสภาพแวดล้อมต่างๆ กันแต่ถ้าหากอยู่กับพ่อแม่ที่แท้จริงเด็กก็จะแสดงออกท่าทางและอารมณ์ที่มีความสุข ในขณะที่สภาพแวดล้อมเดียวกัน แต่เปลี่ยนเอาคนแปลกหน้าเข้ามา เด็กจะเริ่มมีการแสดงออกบางอย่างที่ให้เห็นว่าต่อต้านหรือหวาดกลัว
เช่นเดียวกันในการทดลองนี้เปลี่ยนจากเด็กทารกเป็นสุนัข และแมว โดยผลการศึกษาแสดงให้เห็นชัดเจนว่า หากนำสุนัขและแมวเลี้ยงไว้ในห้องใดนานๆ เมื่อให้เจ้าของเปิดประตูเข้ามา ผลปรากฏว่าสุนัขจะเข้าไปแสดงความรัก กับเจ้าของ ขณะที่แมวนั้น จะอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง และเพิกเฉยต่อการเรียกจากเจ้าของ
ขอบคุณภาพประกอบ : http://www.istockphoto.com/